ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

ข้อเท็จจริง

๑๓ ธ.ค. ๒๕๕๒

 

ข้อเท็จจริง
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เราจะขึ้นต้นตรงเรื่องความเพียร ถ้ามีความเพียร มีความวิริยะอุตสาหะนะ มีความตั้งใจจริง มันจะไม่ผิดพลาด แต่เพราะความมักง่ายเห็นไหม เพราะความมักง่ายมันถึงได้เสียหายกันอย่างนี้ และพูดถึงคำว่าเสียหายในสายตาของคน ในสายตาของพวกเรานะ แต่ในสายตาของเขาไม่ใช่ความเสียหาย มันเป็นความดีของเขา เป็นความดี แต่เป็นความดีของใคร ความดีของเด็กเล่นขายของ มันไม่มีสิ่งใดเป็นประโยชน์เลย แต่ถ้ามันเป็นความจริงนะ มันทำแล้วมันไม่เสียหาย

เพราะเสียหาย แล้วเวลาพูดถึง ถ้าคำว่าเสียหายในสายตานะ เพราะเราอยู่กับหลวงตามา ตอนที่อยู่กับหลวงตา มันมีเรื่องประเด็นในทางธรรมะ แล้วเวลาคนไปถามท่าน คนไปถามเรื่องปัญหาธรรมะ ท่านพูดเอง ท่านบอกผู้รู้จริง คนรู้จริงมี ! ฉะนั้นคนที่พูด เหมือนว่าท่านจะบอกว่าสิ่งที่เขาพูดเขาสอนมันผิด แต่ท่านไม่ได้พูดตรงๆ ท่านเพียงแต่บอกคนที่รู้จริงมีนะ งั้นท่านจะเตือน คนที่รู้จริงมี ท่านก็บอกว่าสิ่งที่เขาพูดมาน่ะ มันไม่จริง แล้วคนรู้จริงมันสามารถพูดได้ แต่ถ้าพูดออกไป แล้วมันสะเทือนกัน มันสะเทือนไง หยิกเล็บก็เจ็บเนื้อ ก็พระด้วยกันใช่ไหม

เวลาเราพูดออกไป มันต้องสำคัญตรงนี้ สำคัญว่าคนเรามีความกล้าหาญในจริยธรรมไหม ถ้ามีความกล้าหาญในจริยธรรมพูดออกไป มันมีโดนแรงกระทบอยู่แล้ว แล้วเวลาพูดออกไปทีแรก ทุกคนก็ว่าคนพูดไม่ดี คนพูดอิจฉาตาร้อน คนพูดอยากมีชื่อเสียง อยากดัง อยากใหญ่ เราก็เข้าใจ เราพูดบ่อย เพราะหลวงตาท่านสอนเอง เราอยู่กับหลวงตา หลวงตาท่านเป็นธรรม อย่างที่พูดตอนเช้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีกำมือในเรา คือ ไม่ต้องการอะไร หลวงตาท่านบอกว่าท่านอยู่เพื่อใคร ท่านอยู่เพื่อหัวใจของสัตว์โลก เวลาไปไหนก็เพื่อหัวใจของสัตว์โลก

หัวใจ คือ หัวใจ เราไม่ลักขโมยหัวใจกัน ถ้าไม่ลักขโมยหัวใจกัน ถ้าสิ่งนั้น ถ้าศรัทธาความเชื่อนะ ถ้าเชื่อ มันเชื่อมันก็ไปหมด ดูสิ..การเล่นพนันเห็นไหม ว่าไฟไหม้นะ ไฟไหม้มันยังเหลือสิ่งใดนะ คนเล่นการพนันมันไหม้หมดเลย แล้วนี่หัวใจโดนขโมยหมดเลยนะ มันยิ่งกว่าการเล่นการพนันอีก ถ้าการเล่นพนัน แต่เราก็ไปมองกันว่าคนนี้โดนหลอก คนนี้โดนหลอก แล้วมันมีความเสียหาย เรื่องทรัพย์สมบัติ

แต่ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่าหัวใจของคนสำคัญที่สุด ถ้าหัวใจเราเชื่อมั่นไปแล้ว เราเชื่อมันจะมีอะไรเหลือ มันไม่มีอะไรเหลือเลย แต่คนที่ออกมาพูดเห็นไหม พอคนออกมาพูด พูดไปพูดมา สิ่งนั้น สิ่งที่ออกไปพูดมันก็กระทบกระเทือนเขาๆ มันกระทบกระเทือน แล้วถ้ามันไม่มีจุดยืนเห็นไหม มันก็ไหลไปตามเขานั่นน่ะ ไหลไปตามเขา เขาพูดออกมาทุกอย่าง พูดมา

เราแปลกนะ เราเวลาเห็นเว็บไซต์ เปิดไม่เป็น โทรศัพท์มือถือยังใช้ไม่เป็นเลย ใครจะซื้อเทปมาให้บอกว่า เฮ้ย..มึงต้องเอาปัญญาอ่อน ทำอะไรไม่เป็นหรอก เทคโนโลยีทำอะไรไม่เป็นเลย ฉะนั้นจะให้เราเข้าไปดู ให้เราเข้าไปค้นหาไม่มีหรอก เราทำไม่เป็น สิ่งที่เราพูดเพราะลูกศิษย์เอามาให้ทั้งนั้น ลูกศิษย์มันไปพริ้นออกมาแล้วก็มาฟ้อง..

เราทำอะไรก็ไม่เป็นนะ เรื่องเทคโนโลยีทำอะไรไม่เป็นเลย ใครจะเอาอะไรมาให้นะ ไม่เอา..ไม่เอา..ใช้ไม่เป็น ถ้าจะเอาอะไรมาใช้ ต้องคุ้นเคยกับมัน ฉะนั้นสิ่งที่เขาเอามาบอก เอามาว่า เราไม่ได้ไปค้นไปหาหรอก เขาถึงบอกว่าชาวพุทธอย่าทะเลาะกัน ชาวพุทธอย่าทะเลาะกัน นี่ก็เหมือนกันเวลาขโมยไปแล้ว ไม่เป็นไร ให้เลิกแล้วต่อกัน ให้เลิกแล้วต่อกัน

ไอ้นี่ชาวพุทธอย่าทะเลาะกัน อย่าทะเลาะกัน มันไม่ได้ทะเลาะ ไม่ได้ทะเลาะ แต่สิ่งที่เขาทำอยู่มันถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง แล้วสิ่งที่ออกมาเห็นไหม บอกใครก็ชี้ไม่ได้ต้องพระพุทธเจ้าชี้ พระพุทธเจ้าชี้ ถ้าพระพุทธเจ้าชี้มันก็หมด มันไม่มี ศาสนาพุทธพระพุทธเจ้านิพพานไปแล้วก็จบแล้ว พระพุทธเจ้าไม่อยู่แล้ว ทีนี้สิ่งที่มันแตกแขนงออกมาเป็น ๑๘ นิกาย ตั้งแต่สังคายนาครั้งแรกไง

ไอ้นี่มันเป็นมุมมองเป็นความเห็นใช่ไหม มันเป็นอาจาริยวาท เพราะความเชื่อตามครูบาอาจารย์กัน แต่ในเถรวาทของเรา ในเถรวาทตอนนี้ของเราดีมาก ของเราดีมาก ทั้งทั้งที่ว่าคนเขาจะมีจุดให้คนเขาติมาก บอกว่า เถรวาทมันเหมือนกับนกแก้วนกขุนทอง ท่องจำ เถรวาทนี่ท่องจำ แต่ถ้าอาจาริยวาทมันเหมือนกับทางวิชาการ ถ้าทางวิชาการ เขาจะวิจัยอย่างไรก็ได้ เขาจะใช้ปัญญาอย่างไรก็ได้ เพราะเขาถือว่ามันเป็นทางวิชาการ แต่ไอ้นี่เขาก็ไม่เคยปฏิบัติ ถ้าคนปฏิบัติจะรู้เลย

ตั้งแต่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น นี่นักวิชาการ นักวิชาการมันจะทำวิจัย ทำค้นคว้าด้วยจิต ถ้าทำค้นคว้าด้วยจิต มันเพราะโดยกิเลส จะต่อสู้กิเลสน่ะ มันกว้างขวางมาก มันต้องต่อสู้ ทำการวิจัย เพราะปัญญามันเกิด มันเกิดจากจิต อาบัติของจิตมันไม่มี ทีนี้พอเราจะออกไปอยู่ในสังคมใช่ไหม เราออกมา ออกมาด้วยสังคม ไอ้นี่เถรวาทมันถือพระไตรปิฎกใช่ไหม ถือพระไตรปิฎกมันก็คือเหมือนกฎหมายรัฐธรรมนูญมันเป็นกรอบ แต่เวลาไปปฏิบัติมันมีกรอบของใจไหม มันมีอะไรควบคุมหัวใจไหม มันไม่มีเลยเห็นไหม

เราทำวิจัยในหัวใจกัน เราปฏิบัติ พระป่านี่ทำวิจัยเวลาปฏิบัติกัน มันค้นคว้าในใจ แต่ของเขาไม่อย่างนั้น เขาจะรื้อเลย รื้อ.. รื้อธรรมวินัยเลย และทำอย่างไรก็ได้เห็นไหม จนสุดท้ายมหายาน โทษนะพระมีครอบครัวก็ได้ พระทำอะไรก็ได้ ถือว่าศีลนี้เป็นของหยาบต้องใช้ปัญญาอย่างเดียว นี่ไง เขาไปลบล้างข้างนอก แต่ในหัวใจไม่มีขอบเขต แต่ถ้าพูดถึงเถรวาทเรา กฎกติกาไม่ลบล้าง แต่เราทำวิจัยในหัวใจกัน ทำวิจัยเวลาต่อสู้กับกิเลสนะ

หลวงตาท่านพูดประจำ “คนภาวนาเป็นจะเข้าใจเรื่องนี้” หลวงตาบอกว่า “ขั้นของปัญญาไม่มีขอบเขต” ขั้นของปัญญา เวลาเราพูดคิดนอกกรอบ เวลาปัญญามันคิดนอกกรอบ ตอนนี้ถ้าเป็นอภิธรรมคิดในกรอบไง คิดในธรรมวินัยอันนั้นไง ถ้าคิดในกรอบ โอ้โฮ..กิเลสมัน หัวเราะเยาะเลย เพราะมันออกนอกกรอบไม่ได้ ออกนอกกรอบไม่ได้ กรอบนั้น มันก็หลอกอยู่อย่างนั้น แต่เวลาขั้นของปัญญามันทะลุทะลวงไปหมดเลย ทะลุทะลวงไปด้วย สติ สมาธิ

ถ้าไม่มีสติ ไม่มีสมาธิเหมือนคนเพ้อเจ้อ นี่ไง จินตมยปัญญาไง ถ้าไม่มีสติ ไม่มีสมาธินะ ความคิดมันไป ไปจนไม่มีขอบเขต มันไม่มีขอบเขต แล้วเราใช้คำว่าอย่างนี้ประจำว่า “ตัดรากถอนโคน” คือพอมันออกไปแล้ว มันเหมือนก้อนเมฆ มันไปของมันนะ ดูสิ..เมฆมาจากไหน เมฆทุกคนก็ว่ามาจากไอน้ำ แล้วดูความเปลี่ยนแปลงของมันนะ แล้วเวลามันตก หรือมันกระจายตัว มันมีเหลือก้อนเมฆอยู่ไหม

ความคิดของเรามันเหมือนก้อนเมฆ มันเหมือนอากาศ แต่ถ้ามีสติ มีสมาธิ เหมือนว่าว เหมือนแสงเลเซอร์ แสงเลเซอร์ยิงมาจากไหน ยิงมาจากกระบอกเลเซอร์ ว่าวไปจากเชือก ความคิด ถ้ามีสติ มีสมาธิทั้งหมด ผลของมันสะเทือนหัวใจทั้งหมด เพราะมันไปจากใจ สิ่งต่างๆ นี้มันออกไปจากใจ แล้วถ้ามัน..กระบวนการที่มันเกิดขึ้นมา เห็นไหมมันต้องกระเทือนมา เพราะว่าวมีเชือกใช่ไหม มันกระเทือนมาถึงผู้ควบคุมว่าวนั้นได้

นี่ถ้าปัญญามันออกไป มันจะเข้ามาถึงใจได้ ฉะนั้นมันต้องมีสติ มีสมาธิ แต่คนแม้แต่เริ่มต้น ยังไม่รู้จักสมาธิเลย แล้วปฏิเสธสมาธิด้วยว่าสมาธิเป็นสมถะ สมาธิไม่มีความจำเป็นให้ใช้ปัญญาไปเลยๆ ปัญญาอย่างนี้มันเหมือน..มนุษย์นะมันมีปฏิสนธิจิต พอเกิดเป็นมนุษย์มันมีขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ มันเป็นระบบสัญชาตญาณของมนุษย์ นี่คือความคิด

มันก็เหมือนกับคอมพิวเตอร์ ถ้าพูดถึงมัน..กระบวนการมันอยู่ข้างนอก กระบวนการมันอยู่ที่จอภาพ กระบวนการมันไม่ได้อยู่ที่โปรแกรม ถ้ากระบวนการอยู่ที่โปรแกรม จอภาพมันเกิดจากอะไร มันเกิดจากโปรแกรมใช่ไหม นี่ก็เหมือนกัน กระบวนการของความคิดมันเกิดจากจิต แต่คนไม่รู้จักจิตเลย แล้วไปแก้กันที่กระบวนการของความคิด ไม่ได้แก้กระบวนการของจิต

ถ้าบอกว่าจะแก้กันที่กระบวนการของจิต คอมพิวเตอร์ ถ้ามันเสียหายไปหาช่าง ช่างก็ต้องเอาโปรแกรมมันมาใช่ไหม เขาเริ่มต้นโหลดข้อมูลเข้าไป มันอยู่ตรงนั้น มันไม่ได้อยู่ที่จอภาพ นี่ไงกระบวนการของความคิด เราใช้กระบวนการของความคิด แล้วก็ความคิดคิดว่าความคิดมันเกิดขึ้นมานี่เป็นปัญญา ปัญญา แล้วพอบอกทำสมถะ ไม่เกิดปัญญา ทำสมถะไม่มีปัญญา คนไม่เป็น คือ ไม่เป็น คนไม่เป็นนะ

ธรรมะนี่นะ มันเหมือนกับองค์การเภสัชเลย พระไตรปิฎกเหมือนกับองค์การเภสัช แต่ไม่มีหมอมาใช้มันนะ ยานั้นก็กองอยู่อย่างนั้นน่ะ องค์การเภสัชผลิตยาขึ้นมานะ ไว้ให้หมอใช้ พระไตรปิฎกทั้งหมดที่เป็นกระบวนการของยา ให้หมอเป็นคนใช้ ไม่ใช่ให้คนไม่รู้ไปใช้มัน คนไม่รู้ไปใช้มันนะ กระบวนการอย่างนี้ ผิดพลาดหมด แล้วพอกระบวนการนี้ผิดพลาดหมดก็โดยวิทยาศาสตร์ เราเป็นปัญญาชนใช่ไหม ก็เลยเป็นกรอบกระดิกไม่ได้เลย กระดิกออกจากนอกกรอบของพระไตรปิฎกนี้ไม่ได้เลย กระดิกไม่ได้ มันขั้นของวินัย ถ้าวินัย ธรรมและวินัย แต่วินัยอย่างนี้ เถรวาทเราชมว่าเถรวาทมันมีอย่างนี้เป็นกฎบังคับ

แต่เวลาภาวนาไปแล้ว กระบวนการของจิตเวลามันเข้าไปแล้ว มันมีกระบวนการของมันอีกมหาศาลเลย ถ้าไม่มีกระบวนการมหาศาล แล้วสิ่งนี้มันพิสูจน์สิ่งที่เป็นนามธรรม มันพิสูจน์ด้วยวิทยาศาสตร์ไม่ได้ อย่างเช่น สุตมยปัญญาที่พิสูจน์ได้ พิสูจน์ได้เพราะอะไร เพราะเวลาทำสังคายนา รื้อค้นพระไตรปิฎก ทำสังคายนาพระไตรปิฎก ๒,๕๐๐ ทางวิชาการ สุตมยปัญญา ธรรมดาสังคายนา หมายถึงว่า เอานักปราชญ์มาประชุมกัน แล้วก็เอาพระไตรปิฎกมาวิเคราะห์ ว่าอะไรมันถูกต้อง หรือไม่ถูกต้อง

นี่พอพูดถึงสุตมยปัญญา ทุกคนเข้าใจได้ “สุตมย” คือ การศึกษา ทุกคนเข้าใจได้หมดล่ะ จินตมยปัญญา ทุกคนก็เข้าใจได้ นักวิชาการนี่เข้าใจได้ แต่พอบอกว่าภาวนามยปัญญา ทุกคนเข้าใจไม่ได้ ทุกคนเข้าใจไม่ได้ จนกระบวนการของนักวิชาการเขาบอกว่าอันนี้ มันไม่ใช่ มันแต่งเติมมาทีหลัง มันเข้าใจไม่ได้ แล้วเขามีมติกันว่าจะเอาออก ทีแรกมีมติกันว่าจะเอาออก สุดท้ายประชุมแล้วประชุมอีกว่า สุดท้ายว่าถ้ามันเป็นพระไตรปิฎกอย่างนี้ ถ้าทำความเข้าใจไม่ได้ก็เอาไว้ก่อน มันยังเหลืออยู่ในปัจจุบัน

ถ้าตอนนั้นตัดภาวนามยปัญญาออกไปนะ นี่หมดเลย เพราะตรงนี้มันจะเป็นจุดที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ตรัสรู้ก็เพราะตรงนี้ ครูบาอาจารย์ ที่เราภาวนากันน่ะ ที่มันรู้ รู้ตรงนี้ ภาวนามยปัญญา ภาวนามยปัญญา มันทางวิทยาศาสตร์ทำการวิจัยแทบไม่ได้เลย แต่! แต่ ถ้าใครปฏิบัตินะ เพราะปฏิบัตินะ ตรงนี้มันเป็นสำคัญมาก สำคัญตรงที่ว่า หลวงตาท่านเล่าให้ฟังเห็นไหม

หลวงตาท่านอยู่กับหลวงปู่มั่นแล้ว ท่านเห็นหลวงปู่ฝั้นไปกราบหลวงปู่มั่น ขณะที่ท่านคุยกันด้วยความรู้ภายใน เพราะหลวงตาท่านเป็นพระอุปัฏฐากหลวงปู่มั่นอยู่ ท่านฟังแล้วทึ่งมากว่า หลวงปู่ฝั้นเวลามากราบหลวงปู่มั่น โอ้โฮ.. กลิ่นมันหอมไม่ใช่หอมธูป หอมเทียน จิตภายในกับภายในเห็นด้วยกัน ด้วยความเคารพของหลวงตาก็เคารพมาก ทีนี้พอหลวงปู่ฝั้นกลับแล้วเห็นไหม หลวงตาท่านเป็นอุปัฏฐากหลวงปู่มั่นใช่ไหม ก็ถามว่าที่พูดนั้นคืออะไร นั้นพูดอะไร มันรู้มาจากภายใน นี้หลวงตาท่านยังปฏิบัติอยู่เห็นไหม

แต่เวลาท่านปฏิบัติ ปฏิบัติถึงที่สุดแล้ว พอหลวงปู่มั่นเสียไปแล้ว ท่านปฏิบัติถึงที่สุด พอมันแก้ความสงสัยในหัวใจได้หมดแล้ว ก็มาฟัง มาฟังหลวงปู่ฝั้น “ผู้รู้สว่างไสว ผู้รู้ผ่องใส” ผู้รู้เห็นไหม ผู้รู้ไง เวลาจะแก้เห็นไหม เวลาวันเผาศพ นี้หลวงตาท่านเล่าเอง เวลาวันเผาศพ อาจารย์กงมาที่วัดดอยธรรมเจดีย์ พอเผาศพเสร็จก็กลับมาพักอยู่ที่วัดป่าภูธรพิทักษ์ก็คุยธรรมะกันไง พอถึงที่สุดตรงนี้คือว่ากระบวนการของความรู้ภายใน

กระบวนการของภาวนามยปัญญาเห็นไหม ถ้าคนไม่รู้ฟังไม่ออกหรอก แล้วไอ้คำนี้มันเป็นไฮไลท์ของพระป่าอยู่ช่วงหนึ่งเลย “ผู้รู้ผ่องใส ผู้รู้สว่างไสว” เห็นไหม ผู้รู้เป็นความว่างเห็นไหม และเราก็ผู้รู้ ผู้รู้ผ่องใสก็จำขี้ปากพูดกันไปเรื่อยๆ หลวงตาท่านบอกกับหลวงปู่ฝั้นนะ พอหลวงปู่ฝั้นพูดตรงนี้ปั๊ป.. หลวงตาใช้คำนี้ เวลาจะแก้จากภายใน มันต้องแก้แบบว่าให้สำนึก ให้ภายในมันยอมรับหรือ ช็อคตัวเองเลย

ท่านใช้คำบอกว่า “โอ้..นึกว่าไปถึงไหนแล้ว มานอนตายอยู่ที่นี่หรือ ก็นึกว่าสิ้นกิเลสไปแล้ว มานอนตายอยู่ที่นี่หรือ ผ่องใส สว่างไสว”

ไปดูใน “ธรรมชุดเตรียม” พร้อมสิ ท่านมีเทศน์อยู่หนึ่งกัณฑ์เห็นไหม แสงสว่าง คือ อวิชชา ความผ่องใส คือ อวิชชา แล้วมันก็กลับมาในพระไตรปิฎก

“จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้เป็นผู้หมองไปด้วยอุปกิเลส”

จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส มันก็มีทางวิชาการเขาก็เถียงกันอยู่พักหนึ่งว่า ผ่องใส คือ นิพพาน อีกกลุ่มหนึ่งบอกว่านิพพานแล้วมาเกิดได้อย่างไร ถ้านิพพานไปแล้ว มันขัดแย้งกันเห็นไหม โดยกระบวนการของที่ว่าภาวนามยปัญญา กระบวนการของที่ว่าคิดนอกกรอบ ถ้ามันผ่องใสมันเกิดได้อย่างไร แต่นี้ไอ้คนบอกว่า ผ่องใส คือ นิพพาน นี่มันก็เถียงกันเพราะมันขัดแย้งเพราะอะไร เพราะมันไม่เป็นความจริง

แล้วนี่พอมันเป็นความจริง จิตเดิมแท้นี่ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้หมองไปด้วยอุปกิเลส จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส ไอ้จิตเดิมแท้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลสเห็นไหม ถ้าคนไม่เป็น คนไม่เข้าใจจะไม่เข้าใจ แต่หลวงตาเห็นไหม ท่านบอกว่า “มันผ่องใส มันสว่างไสว กำหนดแล้วมันว่างไปหมดเลยนะ พิจารณาไปภูเขาทะลุไปหมดเลยนะ” แล้วธรรมะกลัวท่านหลง นี่ไงหลวงปู่มั่นท่านฟังธรรมตลอดเวลา ธรรมะกลัวหลงเห็นไหม ธรรมะเตือนเลย “ความสว่างไสว เกิดจากจุดและต่อม”

ท่านบอกว่าธรรมะเตือน ! คือ ธรรมะเตือน ! เตือนผู้เป็น ! เตือนผู้ที่เป็นอยู่นะให้สำนึกตน งงนะ งงเลยนะ บอกว่า “อ้าว..จุดและต่อม จุดและต่อมที่ไหน” จะวิ่งหาจุดและต่อม ฉะนั้นจุดและต่อมก็คือเรานั่นแหละ จุดและต่อมเป็นภพ เป็นปฏิสนธิจิต สว่างไสว คือมันได้ทำความสะอาดเข้ามาถึงตัวของมัน พอถึงตัวของมัน มันก็สว่างของมันโดยธรรมชาติของมัน แต่ธรรมชาติของมันนะ คือเพราะว่ารู้เท่าไม่ถึงการณ์ ความไม่รู้สึกตัวเองเห็นไหม นี่ “อวิชชาทั้งหมดเลย แต่มันสว่างไสวของมันเห็นไหม”

พอมันสว่างไสว ความสว่างไสวนั้นเกิดจากจุดและต่อม จุดและต่อมของจิต ท่านบอกว่า ถ้าหลวงปู่มั่นอยู่นะ ท่านจะสำเร็จไปเลย แต่นี่หลวงปู่มั่นไม่อยู่นะ มันก็กลับมาหา ทั้งๆ ที่ ทั้งๆ ที่ ธรรมะเตือนนะ เอ.. แล้วจุดและต่อมอะไร จุดและต่อมที่ไหน ตอนที่ยังไม่รู้นะ แต่พอท่านผ่านแล้ว ท่านมาเช็คทุกวันเห็นไหม จุดและต่อมของจิตไง เวลาถ้าผ่านแล้วจะ..ถ้าคนทำลายแล้วจะเข้าใจหมดเลย แต่ถ้าคนไม่เข้าใจนะ มันก็หันรีหันขวางนะ เออ..มันจุดอะไร แล้วมันต่อมอะไร แล้วมันอยู่ที่ไหน เพราะไม่รู้

แต่ถ้าหลวงปู่มั่นอยู่ ท่านชี้ปั๊บจบเลย นี่ย้อนกลับมา เพราะผ่านตรงนี้ แล้วพอผ่านไปแล้วใช่ไหม มันต้องมีกระบวนการที่ผ่านตรงนี้ออกไป พอผ่านตรงนี้ออกไปปั๊บ

พอไปเจอหลวงปู่ฝั้น “ผู้รู้ผ่องใส ผู้รู้สว่างไสว อะไร! อะไร! นึกว่าผ่านไปแล้วมาตายอยู่ที่นี่เหรอ ! ”

คำว่าตายอยู่ที่นี่เหรอ ถ้าไม่เตือนอย่างนี้ กิเลสมันไม่ยอมหรอก กิเลสอันละเอียดมันก็บอกว่าเหมือนกัน เท่ากัน มันจริตนิสัยต่างกัน มันจะอ้างเอาตัวรอดให้ได้ละ กิเลสมันอ้างขนาดเราเตือนแล้วนะ

คนที่รู้นะเตือนแล้ว แต่กิเลสมันก็ยังอ้าง เอาตัวรอด คือว่า เอากิเลสรอดไง มันก็อ้างไม่ให้เข้าไปหามันหรอก มันยังอ้างไปเรื่อยๆ อ้างเล่ห์ไปเรื่อยๆ กิเลสนี่ร้ายนะ กิเลสนี้เป็นเรา อนาคาก็มีกิเลส ฉะนั้นเวลาจะให้สำนึกตน มันถึงต้องกระตุกไง “นึกว่าไปถึงไหนแล้ว มานอนตายอยู่นี่ได้อย่างไร”

พอนอนตายปั๊บนะ อ๊ะ.. งงล่ะนะ พองงด้วยเหตุผลต่อสู้กัน ต่อสู้ หมายถึงว่า โต้แย้งด้วยเหตุด้วยผล พอโต้แย้งด้วยเหตุด้วยผล รู้แล้ว ! ๆ รู้แล้ว ! ๆ นี่พอรู้แล้ว ! พอรู้แล้ว ! ยอมรับแล้ว

หลวงตาก็หยุดแล้วก็รอให้ท่านแก้ไขของท่าน นี่พูดถึงกระบวนการเวลาภาวนามยปัญญา หรือว่ากระบวนการที่ว่าคิดนอกกรอบ เวลาคิดนอกกรอบ มันเป็นเรื่องกระบวนการของปัญญา แต่ถ้าพูดถึงธรรมวินัย คือ กฎหมาย เถรวาทเราเอาตรงนี้เป็นหลัก ถ้าตรงนี้เป็นหลักใช่ไหม มันมีประโยชน์ เราเห็นสมควรมาก แล้วสังคมก็ติฉินนินทามากบอกว่า

“ไอ้เถรวาทไอ้พวกใจแคบ คิดแต่ในกรอบของธรรมวินัย ไม่ยอมรับอะไรเลย สู้มหายานไม่ได้ เขาคิดนอกกรอบ สังคมของเขาถึงเจริญมาก”

ไปดูชาวพุทธใน จีน ในญี่ปุ่น เขาเจริญงอกงามมาก แต่ชาวพุทธเขาล้มไปแล้วไม่เหลืออะไรเลยนะ เหลือแต่ซาก ไอ้ที่เหลือ เหลือแต่วัตถุและสิ่งก่อสร้าง พระก็ต้องมาบวชกันใหม่ แต่ของเรามันคิดอยู่ในกรอบ เขาจะติฉินนินทาว่าไอ้พวกนกแก้วนกขุนทอง ไอ้พวกท่องจำ เขาบอกว่า พระเถรวาทเหมือนกับสวดปาฏิโมกข์ สวดเหมือนนกแก้วนกขุนทองไง สวดปาฏิโมกข์แต่คนฟังไม่รู้เรื่อง

แต่เขาไม่เข้าใจหรอกว่าคนสวดปาฏิโมกข์นะ ภิกษุถ้าไม่ฉลาดต้องเหมือนกับเด็กอ่อน เด็กไม่รู้นิติภาวะไปที่ไหนต้องขอนิสัย ภิกษุที่พ้น ๕ พรรษาแล้วฉลาด พ้นจากนิสัยเหมือนบรรลุนิติภาวะ ผู้ที่สวดปาฏิโมกข์ได้ตั้งแต่ ปาราชิก ๔ สังฆาทิเสส ๑๓ อนิยต ๒ นิสสัคคีย์ ๓๐ ปาจิตตีย์ ๗๒ และเสขิยวัตรนี่ ลองท่องทุกวันๆ สิ เหมือนเราท่องกฎหมาย เหมือนนักกฎหมายถึงเราจะตะแบงนะ แต่ถ้ารู้กฎหมายนะ มันแทงใจนะ เออ..กูก็ทำเหมือนกันนะนี่

องค์พระพุทธเจ้าบอกว่าผิดก็ผิด กูก็ยังฝืนทำอยู่นี่ มันเตือนนะท่องปาฏิโมกข์มันเตือน แล้วใครท่องปาฏิโมกข์ได้ต้องท่องบ่อยๆ นกแก้วนกขุนทองนะ แต่ถ้ามันมีจิตสำนึกนะ มันแทงใจเรานะ ฉะนั้นถ้าใครได้ปาฏิโมกข์นะ เป็นผู้ที่ฉลาด เพราะมันท่องเหมือนกับจบนิติศาสตร์ รู้กฎหมาย รู้กฎหมายแล้วไปไหนก็ได้ แต่ถ้ายังไม่รู้กฎหมายต้องขอนิสัย ถ้าไม่ขอนิสัยราตรีที่ ๗ เป็นอาบัติปาจิตตีย์ นี่เถรวาทเราถือกันอย่างนี้

ถ้าเราถืออย่างนี้มันอยู่ในกรอบ ทีนี้เขาบอกว่า พวกนี้คิดแบบคับแคบ เพราะคับแคบ เพราะเรารักษากฎหมายไว้ แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติก็เลย มันไม่คับแคบหรอก เพียงแต่ว่าไอ้คนที่พูดมันก็พูดว่าคับแคบ มันก็เหมือนทางโลก แก้รัฐธรรมนูญ แก้รัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญก็แก้กันไปเถอะ คนมันชั่วก็ชั่วอยู่วันยังค่ำ รัฐธรรมนูญของพระพุทธเจ้าบัญญัติมา ๒,๐๐๐ กว่าปีแล้ว เราก็ไปใช้แล้ว เราก็ปรับตัวเราสิ เราทำตัวเรา แล้วทำตัวเรานะถึงที่สุดแล้วนะ มันสะอาดบริสุทธิ์ได้

เราไม่มีมุมมองคิดอย่างนั้นเลย อย่างเช่น เมื่อก่อนเวลาพระมีปัญหาขึ้นมา จะบอกว่าฟ้องยูเอ็น ฟ้องอะไรนี่ เราฟังแล้วมันสังเวช “ยูเอ็น” ก็คือ ฆราวาส ! “ยูเอ็น” ก็คือ ฆราวาส ! ก็คือมนุษย์ แล้วมันคนมีกิเลส แต่ว่าธรรมวินัยมันมาจากพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นศาสดา พระพุทธเจ้าเป็นผู้สิ้นกิเลส มันมาจากที่มามันต่างกันมาก ธรรมและวินัย แล้วมันมาจากพระพุทธเจ้ามาจากผู้ที่สิ้นกิเลส มาจากผู้ที่อนาคตังสญาณ รู้อดีต อนาคตไปหมดนะ

แล้วพูดไว้ข้างหน้าด้วย บอกพระอานนท์ไว้ “อานนท์ ถ้าเรานิพพานไปแล้ว อนาคตกาลข้างหน้า ถ้ามันมีสิ่งใดที่มันขัดแย้งกับธรรมวินัยที่เล็กน้อย เราตถาคตอนุญาตให้แก้ไข” “อนุญาต” แล้วสิ่งใดที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้แล้ว บัญญัติไว้แล้วนะ แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นในอนาคตกาลน่ะ มันเหมือนกับบัญญัติให้ถือว่าเป็นบัญญัติ สิ่งใดที่พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติ แล้วในพุทธกาลที่มันไม่มีนี่ ถือว่านี่เป็นมหาปเทส ๔ นี่พูดแบบพระป่านะ

ถ้าออกไปสิ เดี๋ยวก็เถียงกันแล้ว มันไม่มี หลวงพ่อพูดนะไม่ใช่ ! ไม่ใช่ ! ตีความ ตีความ นี่พูดถึงอนาคตังสญาณ พระพุทธเจ้ามองไปข้างหน้าอยู่แล้ว นี่มองไปข้างหน้า มองไปข้างหน้าแล้วบอกพระอานนท์ไว้ บอกว่า “อานนท์ต่อไปข้างหน้า ถ้าอนาคตกาล สิ่งใด ถ้ามีของผิดเล็กน้อยให้แก้ไขธรรมวินัยได้”

ทีนี้พระกัสสปะ พระกัสสปะเป็นผู้ที่สร้างคุณประโยชน์ให้พระพุทธศาสนานี้มากเลย ตั้งแต่ธุดงควัตร พระกัสสปะก็เป็นเอตทัคคะทางธุดงควัตรมา พระกัสสปะเป็นคนที่เริ่มในการทำสังคายนา พระกัสสปะเป็นคนจุดไฟเผาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระกัสสปะถามขึ้นมาท่ามกลางสงฆ์ บอกว่า

“สิ่งที่บอกว่าเล็กน้อย เล็กน้อยแค่ไหน อะไรถือว่าเล็กน้อย อะไรถือว่ามาก แล้วถ้าไม่รู้ว่าเล็กน้อยว่ามากแค่ไหนจะแก้ไขกันอย่างไร”

พอบอกไม่แก้ไขไม่ได้ พระกัสสปะเลยเป็นคนขอมติเอง บอกว่า “ถ้าอย่างนั้น ให้ลงมติกันว่าเถรวาทเราจะไม่แก้ไข”

แต่พระพุทธเจ้านี่ให้แก้ไขได้ อันนี้อย่างมหายานเขาถือตรงนี้ไง ถือว่าพระพุทธเจ้าบอกว่าให้แก้ไข เขาก็แก้หมดเลย แก้จนล่อนจ้อน แก้ทุกอย่างเลย แก้จนไม่เหลือพระพุทธศาสนานะเหลือแต่ว่า ดูสิการนุ่งห่มก็ว่ากันไป อันนี้เราจะบอกว่าเถรวาทดีหมดไม่ได้นะ เพราะอนัตตลักขณสูตร อาทิตตปริยายสูตรมันก็ขัดแย้งกันในพระไตรปิฎก มีหลายจุดมากที่ขัดแย้งกัน

ฉะนั้นเราก็ต้องย้อนว่าหลวงตาท่านบอกว่า คนที่จดจารึกถ้าเป็นพระอรหันต์ที่รู้จริง มันจะไม่มีขัดแย้งกัน มันจะถูกต้องทั้งหมด ทีนี้พระอรหันต์ใครจะยอมรับว่าใครเป็นพระอรหันต์ล่ะ นี่สังคมไทยเรา เกิดสงครามมาตั้งแต่เมื่อไร มาตั้งแต่สุโขทัย ก่อนสุโขทัยพระพุทธศาสนามาจากลังกา และมาจากลังกา แล้วกว่าสุโขทัยจะมาขอจากนครศรีธรรมราช นครศรีธรรมราชเอามาจากลังกา แล้วเป็นสุโขทัย โดนเผาไปกี่รอบ จากสุโขทัยโดนเผา อยุธยาก็โดนเผา พอโดนเผามันหมดไง ตำรับตำรามันโดนเผาไปทั้งนั้นน่ะ

ขณะที่เราจะสังคายนา แล้วพิมพ์พระไตรปิฎกครบตู้นี่ สมัยรัชกาลที่ ๕ นะ รัชกาลที่ ๕ เท่านั้นที่มารวบรวมแล้วขึ้นมาครบ นี่พอการว่าครบนี่ สมัยรัชกาลที่ ๕ แล้วพระสมัยรัชกาลที่ ๕ เราต้องคิดดูว่ามีพระที่มีวุฒิภาวะนี่ มันสมบูรณ์แค่ไหน แล้วหลักฐานเอกสารมันสมบูรณ์แค่ไหน ฉะนั้นมาเน้นในพระไตรปิฎกว่า มันผิดบ้างไหม หลวงตาท่านชี้จุดผิดให้เห็นเยอะแยะเลย แต่ท่านบอกว่า สาธุ มันไม่ขัดแย้งกับการประพฤติปฏิบัติหรอก

ถ้าเรามีการประพฤติปฏิบัติ เรามีการทำความจริง มันเข้าไปถึงจุดฝ่ายความจริง มันรู้จริงเอง สิ่งนี้เหมือนกันที่ว่าพระไตรปิฎกเป็นแนวทางใช่ไหม เป็นเครื่องชี้นำเป็นเข็มทิศ มันจะมีความผิดความถูก แต่ส่วนใหญ่แล้วมันชี้ไปทางถูกได้ เราก็ไม่ต้องถึงกับจะไปแก้ไข จะไปทำให้มันเสียหายหรอก เขานักปราชญ์เขาพยายามจะรวบรวมกันมาแล้วเห็นไหม นี่พูดถึงว่า จะบอกว่ามหายานไม่ดีไปหมดเลย เถรวาทถูกไปหมดเลย มันก็ไม่ใช่

เพียงแต่เถรวาทเรา มันมั่นคงที่มันมีแบบว่าเหมือนมีกฎหมายรองรับ ถ้าพวกข้าราชการทำทุกอย่างบอกว่า ฉันทำตามกฎหมายนะ ไอ้พวกเราชาวบ้านหงอเลยนะ แต่ถ้าเราชาวบ้านเราก็มี กฎหมายรองรับเหมือนกัน สิทธิมนุษยชนนะ สิทธิความเป็นมนุษย์ ห้ามยุ่ง ห้ามยุ่ง เรามีกฎหมาย รองรับ ถ้าใครมีกฎหมายรองรับ มีอำนาจเห็นไหม

นี้พอเถรวาทมันมีตัวนี้ไปรองรับ แล้วมันเวลาเราพูดกันนี่นะ เราอย่ามองภาพแต่ประเทศไทย มันมีสมาคมบาลีไวยากรณ์ของโลก ตอนที่ในอินเดียนะ พวกอังกฤษ เยอรมัน เขาเข้าไปค้นคว้าเขาเอาพวก ไอ้พวกเอกสารไปเก็บไว้ที่อังกฤษนะ เอาไปที่เยอรมันเท่าไร ฉะนั้นเวลาเราเข้าไปถึงสมาคมบาลีไวยากรณ์แห่งโลกนี่ มันตรวจสอบกันได้ไง

เราอย่าคิดว่าเรามีประเทศไทยแล้วประเทศไทยจะอหังการนะ เอกสารทางหลักฐานทางศาสนามันไปอยู่ทั่วโลกนะ แล้วเราจะเก็บรวบรวม แล้วเราจะประชุมกัน เราจะหาความตรงกันตรงไหน ความตรงกันตรงไหนก็ต้องพิสูจน์เอกสารนั้น มันชัดเจนแค่ไหน เอกสารนั้นจริงหรือปลอม นี่เอกสารปลอมก็มี เราเขียนไว้ในสมัยนั้นเช่น ในเมืองจีนเขาเอามาแล้ว เขาเอามาทำสังคายนาไว้เห็นไหม แล้วแปลเป็นภาษาจีน มันได้รับการแปลหนหนึ่งแล้ว

ความแปลมุมมองของผู้แปล มันมีวุฒิภาวะตรงแค่ไหน หลวงตาท่านถึงบอกว่าถ้ามีพระอรหันต์ทั้งหมดไม่มีปัญหาเลย เพราะมันเข้าใจได้ แต่ถ้าไม่มีพระอรหันต์ มันจะเป็นสภาวะแบบนั้น นี่พูดถึงมหายาน พูดถึงลัดสั้น ลัดสั้น ถ้าคนมันศึกษาอย่างนี้นะ คำว่าลัดสั้นเราจะมองได้เลยว่า มันเป็นคำพูดว่าอะไร แล้ว ว่างๆ ว่างๆ ความว่าง แหม..ถ้าความว่าง ว่างๆ เด็กๆ ก็ว่าว่าง เด็กพูดว่าว่างต้องก้มกราบเด็กเลยเหรอ

เด็กมันว่าว่างมันก็จินตนาการว่างได้แค่สมองของเด็กเท่านั้น แล้วว่างของผู้ใหญ่ ว่างของผู้ที่มีอายุว่างของผู้ที่รู้จริงมันว่าง มันมีเยอะแยะไปหมดเลย คำว่าเยอะแยะนี้เป็นทฤษฎีนะ แต่ถ้าเป็นความจริงนะ ความว่างตั้งอยู่บนอะไรเราถามบ่อยมาก เวลาคนบอกว่าง ใครเป็นคนรู้ว่าว่าง ว่างมันอยู่บนอะไร ความว่างในอวกาศ ความว่างต่างๆ มันไม่มีชีวิต ความว่างที่เรารู้ว่าว่าง เพราะวิทยาศาสตร์ พิสูจน์

ความว่างของอากาศใครเป็นคนพิสูจน์ว่าว่าง วิทยาศาสตร์ใช่ไหม ทฤษฎีใช่ไหม แล้วมันมีชีวิต มีความรู้สึกไหม แต่ความว่างของสมาธิมันมีจิต มันมีสติรู้ตัวมันเอง มันมีกำลังของมัน ฉะนั้นคนที่พูดว่า ว่างๆ ว่างๆ ว่างๆ นี่ พูดโดยที่ไม่รับผิดชอบ นั้นคือว่างปลอม ถ้าคนว่างจริงนะ คำว่าว่างไม่มีค่าเลยนะ คนที่ว่างจริง คำพูดที่ออกมาว่าว่างแทบไม่มีค่าเลย เพราะความว่างจริง มันรู้จริง พอมันรู้จริง มันจะอธิบายอะไรก็ได้

คนรู้จริง คนมีฐานความจริงรองรับ “ฐานความจริง” รองรับความรู้สึกอันนั้น อธิบายความว่างด้วยความชัดเจนว่างหมดเลย ว่างอย่างไร เพราะกำหนดแล้วมันว่าง พอว่างมันมี ที่หลวงปู่ชาท่านพูดนะ “น้ำนิ่งแต่ไหลอยู่” ความว่างที่มีพลังงานของมัน ความว่างที่มีชีวิต ดูแรงอัดสิ แรงกด แรงดันต่างๆ มันมีกฎแรงดัน เพราะอะไร เพราะมันมีพลังงานของมันใช่ไหม แล้วถ้าจิตมันว่าง มันมีพลังงานอย่างไร พลังงานของความว่างมันเป็นอย่างไร

ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ จิตตั้งมั่น ด้วยสมถะ มันเป็นอย่างใด เราฟังมาตลอดนะ แล้วมันขัดหูมาก ว่างๆ ว่างๆ หมากูก็พูดเป็น ว่างๆ ว่างนี่ถ้าเป็นข้อเท็จจริง มีครูมีอาจารย์มันจะเป็นอย่างนี้ไง มันมีที่มาที่ไปไง ทำไมมันถึงว่างมันต้องมีเหตุผลว่าว่าง อย่างเช่น พวกเราทำมาหากินกัน เราไม่มีอาชีพ เราจะมีตังค์ไหม เราไม่มีอาชีพเราจะเลี้ยงตัวเองได้ไหม แล้วความว่างมึง อาชีพว่างของมึง มันเกิดขึ้นมาจากอะไร มึงทำอย่างไร จิตมึงถึงว่าง ความว่างลอยมาจากฟ้าเหรอ

พระพุทธเจ้า พระพุทธศาสนา ศาสนาแห่งเหตุผล ศาสนาพุทธไม่มีของฟรี ศาสนาพุทธไม่มีการลอยมาจากฟ้า มีที่มาที่ไปทั้งหมด มีเหตุมีปัจจัย ถ้ามีเหตุมีปัจจัย ความว่างที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง มันพวกพระป่าเราถึงว่าสมถะ หลวงตาหรือครูบาอาจารย์จะบอกบ่อยว่า แม้แต่ความสงบของใจก็พออยู่พอกินนะ จิตสงบโอ๋..มีความสุขมาก จิตสงบ คำว่าจิตสงบจริง แต่นี้มันสงบไม่จริง พอสงบไม่จริง พอว่าง ว่าง ว่าง เลยเป็นจินตนาการเป็นการคาดการณ์ พอตัวเองคาดการณ์ก็สร้างกระบวนการ สร้างกระบวนการให้เป็นนิพพาน เพราะให้มันครบกระบวนการของตำรา ทฤษฎีว่าไว้อย่างไรใช่ไหม ต้องมีใช้ปัญญา

ปัญญาก็ต้องใช้จินตนาการไป มันก็เกิดกระบวนการของจิตที่มันเป็นไป แล้วมันก็ว่าง มันมี มันปล่อยวาง พอปล่อยวางแล้วเป็นอย่างนี้หมด เป็นอย่างนี้หมดเพราะอะไร เพราะเราปฏิบัตินะ โอ้โฮ..ปฏิบัติแล้วมันยุ่งมันยาก จิตมันยุ่งไปหมดเลยนะ เวลาไปกำหนดดูเฉยๆ มันว่าง สบาย โอ๋ย..มันมีผลนะ มันว่างจริงๆ นะ มันก็ไปหาทรงเจ้า เวลาใครทุกข์ร้อนไปหาทรงเจ้านะ พอเจ้าบอกว่าเป็นอะไร โอ้โฮ..ลูกช้างทุกข์มากๆ เลย มานี่.. มานี่.. พ่วง.. โอ้..สบาย..ว่าง เหมือนกัน

ใครทุกข์ยากนะไปหาเจ้าเถอะ ลูกช้างทุกข์มากเลย เจ้าพ่อ เจ้าพ่อ พ่วงเดียวว่างเลย มันเป็นสัญญาอารมณ์ มันเป็นความเห็นจากหัวใจแล้วก็เป็นอยู่แค่นั้นแหละ แล้วลูกช้างก็ต้องไปหาเจ้าพ่อบ่อยๆ เจ้าพ่อก็พ่วงบ่อยๆ มันก็จะได้ว่างบ่อยๆ มันตัน มันไม่มีเหตุผลรองรับ นี่ไงเพราะมันเป็นสภาวะแบบนั้น มันสร้างกระบวนการขึ้นมา มันไม่เป็นความจริงเลย

ถ้าคนมีกระบวนการความจริง มันโอ๋..ความว่างนะ เราจะลงทุนลงแรงกัน ทำไมปฏิบัติยากละ ทำไมถึงปฏิบัติยาก ปฏิบัติยากเพราะว่าเราเคยใจ พอเคยใจขึ้นมานะ เราจะแก้ไขอย่างไร พอแก้ไข นี่ ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ มันทับจิต สังขาร ความคิด ดูสิ..เราคิดว่าคนนั้นว่าเรานะ เราจะเจ็บช้ำน้ำใจ พอคิดครั้งที่ ๒ นะ มันบวก เป็น ๒ แล้ว ๓, ๔, ๕ พอคิดทีแรกเจ็บช้ำน้ำใจหน่อยหนึ่ง พอคิดที่ ๒ ที่ ๓ จะเจ็บช้ำน้ำใจมากขึ้นๆ มากขึ้นๆ เห็นไหม

จิตของเรามันฟุ้งซ่าน มันคิดถึงธรรมะ มันก็จะตอกย้ำ ตอกย้ำๆ ตอกย้ำๆ จิตใจก็ห่อเหี่ยว ห่อเหี่ยวไปตลอด แล้วก็พุทโธ พุทโธ พุทโธ แล้วเมื่อไรมันจะไปล่ะ มันก็ยิ่งห่อเหี่ยว ยิ่งพุทโธ ยิ่งห่อเหี่ยว ยิ่งประพฤติปฏิบัติ ยิ่งทุกข์ โอ๋ย..ทำไมมันถึงทุกข์ขนาดนี้ ทุกข์ขนาดนี้ นี่ไงมัน..คนปฏิบัติด้วยเถรตรง หลวงตาท่านบอกเลยนะ พวกซื่อบื้อ พวกเถรตรง ปฏิบัติแล้วไปตายนะ

เราย้อนกลับมาที่พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบอกว่า พระพุทธเจ้าอดอาหารมา ๔๙ วัน แล้วบัญญัติไว้เลยว่า “ห้ามอดอาหาร” ถ้าพระพุทธเจ้าบอกว่าการอดอาหารเป็นทางปฏิบัตินะ เราว่าชาวพุทธตายค่อนประเทศ มันอดตายหมดเลย เพราะมันไม่มีปัญญานะ พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าอดอาหารนะ ห้ามนะ ! อดอาหารห้าม เพราะว่าคนไม่มีปัญญามันจะอดจนตาย

แต่ท่านได้อนุญาตไว้ในบาลีว่า “แต่ถ้าใครอดอาหารเป็นอุบาย ! เป็นอุบาย ! เป็นวิธีการดำเนินการของจิตเราตถาคตอนุญาต” มี ! ห้ามไว้ ถ้าอดโดยซื่อบื้อ ห้าม ! แต่คนอดด้วยปัญญา ถ้ามีปัญญาอดเพื่อไปทอนกำลังของกิเลส เราตถาคตอนุญาต ทีนี้เราย้อนกลับมาตรงนี้ เราบอกว่าพระพุทธเจ้าไม่ปิดกั้นไว้นะ ชาวพุทธตายเป็นเบือเลย นี่พอปิดกั้นไว้ เพราะปิดกั้นกันคนโง่

แต่พอเราปฏิบัติขึ้นไป ครูบาอาจารย์เห็นไหม พอมันเจ็บช้ำน้ำใจ มันตอกมันย้ำนี่ ถ้าเราอดอาหารนะ เราพูดกับพระนะ แม้แต่การอดอาหาร โทษนะ นี่เรื่องจริงของสังคมโลก ความรักพอมันรัก มันปิ๊งนะ มันรัก โอ้โฮ..มันเจ็บปวดหัวใจมากนะ ครูบาอาจารย์เรา เวลารักนะ ใช้อดอาหาร

รักไหม ? รัก ! รักไม่กิน..

รักไหม ? รัก ! ไม่กิน..

อดอาหารมันแก้ความผูกพัน ไอ้โรครักนี่ได้เลยล่ะ นับประสาอะไรกับกิเลส ไอ้ความรักและความผูกพัน มันเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดของโลกใช่ไหม แล้วเวลา มี.. แล้วไม่พูดมันก็ไม่ครบสูตรเนอะ

หลวงตาท่านเล่าบ่อย หลวงปู่ฝั้นปี ๒๔๗๕ หลวงปู่สิงห์และหลวงปู่มหาปิ่น ๒ องค์พี่น้องลงมางานฉลองกรุงปี ๒๔๗๕ หลวงปู่ฝั้นท่านเป็นพระบวชใหม่ ท่านเป็นผู้

อุปัฏฐากบาตรของหลวงปู่สิงห์กับหลวงปู่มหาปิ่น และบาตรของท่าน รวมเป็น ๓ ใบ มาพักที่วัดบวรฯ แล้ว เวลาจะออกมาบิณฑบาต ท่านจะเอาบาตรออกมา ๓ ใบ เพราะมันเป็นประเพณีของพระป่า คือ จะอุปัฏฐากครูบาอาจารย์ก็เอาบาตรมาล่วงหน้า เสร็จแล้วก็เอาบาตรนี่ถวายครูบาอาจารย์ท่าน ให้ออกบิณฑบาต ขากลับก็เอาบาตร ๓ ใบนี่ล้าง

หลวงปู่ฝั้นท่านล้างทีหนึ่ง ๓ ใบเลย ล้างบาตรทั้ง ๓ ใบเลย อุปัฏฐากหลวงปู่สิงห์กับหลวงปู่มหาปิ่น ๒ องค์พี่น้อง ปี ๒๔๗๕ ที่วัดบวรฯ จนวันหนึ่งเดินสวนทางกับผู้หญิงไม่เคยรู้จักกัน ไม่เคยเห็นหน้ากัน หลวงปู่ฝั้นอยู่สกลนคร ไม่เคยเห็นหน้าผู้หญิงคนนี้เลย เห็นครั้งแรก ปิ๊ง ! โอ้โฮย.. มันรัก พอรักก็ไปปรึกษาหลวงปู่สิงห์มันเป็นโรครักแล้ว หลวงปู่สิงห์และหลวงปู่มหาปิ่นบอกว่า ให้เข้าโบสถ์เลย โบสถ์วัดบวรฯ

พอเข้าโบสถ์วัดบวรฯ ก็ปิดประตูนั้น ปิดหมดเลย อดอาหารไม่กินข้าว รักไหม รัก ไม่กิน วันที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ รักไหม รักไม่กิน รักไม่กิน พอวันที่ ๗ มันจะหิว รักไหม ไม่รัก ไม่รักมากินข้าวได้ หลวงปู่ฝั้นท่านรอดมา จากการอดอาหารผ่อนอาหาร นี่พูดถึงโรคอย่างนี้นะ แล้วเราโรคปฏิบัติที่ว่าเรา..เพราะอะไร เพราะเราฟุ้งซ่าน เราตอกย้ำ เราอยากได้สมาธิ เราอยากได้ทุกอย่างเลย เราศึกษาธรรมโดยกิเลส เราปฏิบัติทนโดยกิเลส เอากิเลสไปปฏิบัติธรรม

สิ่งใดๆ เห็นไหม อภิธรรมบอกว่าห้ามมีความอยาก ถ้ามีความอยากแล้วปฏิบัติไม่ได้ มันไม่สะอาด มันไม่เป็นธรรม มันเป็นกิเลส โดยสัญชาตญาณของมนุษย์ มันมีความอยากโดยจิตใต้สำนึก ความอยากตัดจากจิตไม่ได้เลย คนที่ตัดความอยากจากจิตได้ คือ พระอรหันต์เท่านั้น ฉะนั้นความอยากอย่างนี้ มันอยากโดยธรรมชาติ อยากโดยจิตใต้สำนึก ได้ความอยากอย่างนี้มันมีอยู่แล้ว เราก็พยายามตั้งสติสู้กับมัน

แต่พอเราประพฤติปฏิบัติไปเราก็ โอ้โฮย.. ครูบาอาจารย์บอกว่านิพพานก็ดี สมาธิก็ดี ทุกอย่างก็ดี มันก็อยาก นี่พออยากอย่างนี้ มันก็อยากโดยกิเลสตัณหาละ จิตใต้สำนึก ความอยากอันหนึ่ง ถ้ามีความอยากอันหนึ่งเราจะไม่มีชีวิต เราจะไม่มีรสชาติ เราจะไม่มีการประพฤติปฏิบัติ เราจะไม่มีความมุ่งมั่น มุมานะ ไอ้ความมุมานะ ไอ้ความตั้งใจนี่ คือเกิดจากความอยากของจิตใต้สำนึก

แต่พอปฏิบัติขึ้นมาแล้ว ไอ้กิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันก็จะย้อนกลับมา ย้อนกลับมาให้เราอยากได้ผล ถ้าเราอยากได้ผล นี่ ! คือตัณหาความทะยานอยาก เราก็พยายามตั้งสติของเราไว้ นี่ พอปฏิบัติๆ ไปโดยกิเลส เอากิเลสเสริมเข้าไป เสริมเข้าไป มันก็จะมีกิเลส มันจะมีต่างๆ คอยทิ่ม คอยตำ ให้จิตนี้มันออกไปโดยธรรมชาติของมัน

เราก็ตั้งสติไว้ ตั้งสติไว้เห็นไหม แล้วเวลามันตั้งสติไว้ สู้ขนาดไหน อาวุธหมดละ อาวุธหมดเห็นไหม เนสัชชิก พอเนสัชชิก ผ่อนอาหาร พอผ่อนอาหารไป มันจะไปทอนกำลังตรงนี้ไง ที่ว่าทำสมาธิ ทำต่างๆ นี่ ต้องมีตรงนี้ อย่างเรามันเหมือนกับกีฬา นักกีฬาเห็นไหม เวลาใกล้จะหมดเวลาแข่งเราจะรีบ เราจะเอาทำคะแนนให้ได้ ทำคะแนนให้ได้ แล้วไม่ได้อะไรเลย

นี่ก็เหมือนกันเวลาปฏิบัติไป ยิ่งอัดเข้าไป อัดเข้าไป มันก็ยิ่งแน่นเข้าไป แล้วกิเลสก็ยิ่งพอกเข้าไป พอกเข้าไป แล้วเมื่อไรมันจะได้ละ ถ้าไม่ได้มันก็ต้องหาอุบายเห็นไหม อ้าว..ผ่อนอาหารเลย ผ่อนอาหารเลยไม่นอนเลย มันไปตัดทอนไง มันไปตัดทอนกันเกลือจิ้มเกลือ พอไปตัดทอนกันมันจะเกิดข้อเท็จจริง เกิดความเป็นไปของมัน แล้วเราทำขึ้นไป มันจะได้ตรงนี้

พอมันจะได้ขึ้นมา ฉะนั้นสิ่งที่พอได้ขึ้นมา พอได้สักหนหนึ่งเห็นไหม ถ้าในกีฬานั้น เราเคยแข่งชนะสักครั้ง สองครั้ง เราว่าเรามีโอกาสละ เพราะมีประสบการณ์ละ นี่ก็เหมือนกันพอจิตมันสงบบ้าง อะไรบ้าง เดี๋ยวมันแก้ไขได้ นี้การปฏิบัติเห็นไหมจะบอกว่า ความว่าง ความว่าง มันตั้งอยู่บนอะไร ความว่าง ความว่าง มันตั้งอยู่บนความเพียร ความเพียรมันสร้างมันมา แล้วสติ ปัญญา ความว่างมันควบคุมมันเอง

เวลาปฏิบัตินะ เราบอกว่าสมาธินี่รักษายาก ทุกอย่างรักษายาก ทุกอย่างแก้ยาก แล้วทีนี้เป็นสมาธิแล้วเสื่อมหมด แต่ถ้ามันปฏิบัติตามความเป็นจริงนะ เราดูที่เหตุใช่ไหม ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ เรามาอยู่ที่สติ อยู่ที่ปัญญา อยู่ที่คำบริกรรม เราพูดบ่อยสมาธิถีบมันไป มันก็ไม่ไปหรอก หลวงตานะ เวลาท่านบอกว่าท่านเสื่อมนะ ท่านทุกข์มากเลย แต่พอกำหนดได้หมดแล้วนะถ้าจิตเราเสื่อมเราต้องตาย

พอจิตเราเสื่อมมันต้องตายปั๊บ.. ท่านตั้งสติเลย อยู่กับคำบริกรรมตลอด แล้วจิตจะเสื่อมได้ไหม เหมือนเรา อาหารนี่.. เราควบคุมอาหาร อาหารเราควบคุมมันละ นี่เราเป็นหุ่นยนต์เลย ให้กินข้าววันละ ๕ คำ เรากินข้าววันละ ๕ คำ แล้วพลังงานในร่างกายมันจะเหลือใช้ไหม เราบังคับตัวเองเลย วันหนึ่งกินข้าว ๕ คำ แล้วต้องไปหาไปเข้าฟิตเนสไหม ต้องไปหาหมอลดน้ำหนักไหม ถ้าเรากำหนดมันไว้ ๕ คำ

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเรากำหนดสติ เรากำหนดของเราไว้ เรากำหนดสติ เรากำหนดคำบริกรรมไว้ แล้วสมาธิมันจะไปไหน แต่นี่มันไม่อย่างนั้นน่ะสิ เวลาทำขึ้นไปสเปะสะปะ จับต้นชนปลายกันไม่ได้เลย แล้วเรื่องสมาธิเวลารักษาได้แล้วมันจะไปไหน เพราะจิตมันอยู่กับเรา จิตมันอยู่กับเรา สติมันอยู่กับเรา ทุกอย่างมันอยู่กับเราหมดเลย แล้วเราเป็นคนควบคุมมันหมดเลย

อ้าว..มึงจะไปไหนมึงไปสิ.. มึงไป.. กูได้สติแล้ว มึงไป.. แล้วมันไปไหมล่ะ ไอ้นี่มันไม่ได้ไป กูไม่รู้ กูคิดกลับมาแล้ว เออ.. ไปอเมริกากลับมาแล้วนะ เอ๊ะ..เอ็งอยู่ไหน ยังไม่ตื่นไง มันคิดไปรอบโลกกลับมาแล้วนะ ปลุกให้จิตมันตื่นขึ้นมา เฮ้ย.. เอ็งไปไหน กูไปคิดกลับมาแล้ว เอ็งไปไหน พึ่งงัวเงียตื่น เอ้อ..กูอยู่นี่ เพราะมันไม่มีสติเห็นไหม พูดอย่างนี้ได้ เพราะเราประพฤติปฏิบัติมา เรากระทำมานะ เราต่อสู้กับตัวเองมาตลอด แล้วลงทุนลงแรง

หลวงตาหรือครูบาอาจารย์ เวลาท่านพูดท่านพูดด้วยความองอาจ ท่านพูดด้วยความเด็ดขาด เพราะมันมีประสบการณ์จริง ท่านทำของท่านจริงๆ แล้วมันได้ผลจริงๆ มันต้องมีที่มามีข้อเท็จจริงรองรับ มันมีความจริงรองรับ สมาธิก็มีความจริงรองรับ ปัญญาก็มีความจริงรองรับ แล้วความจริง รองรับ ความจริงที่มันเป็นจริง ที่มันปฏิบัติจริงขึ้นมา แล้วมันสมุจเฉทปหาน

ความจริงอันนี้มึงจะทำอย่างไร ความจริง ก็คือ ความจริง หลวงตาเวลาท่านพูดเห็นไหม “ท่านบอกเวลาท่านช่วยชาติ ถ้าคนจะฆ่าท่านก็ฆ่าได้แต่ร่างกายนี้” เหมือนในพระไตรปิฎกเห็นไหม พระอรหันต์เขาจะเชือดคอ เชือดคอก็แค่มีดเข้าไปในกระดูกคอเท่านั้นเอง แต่ไม่สามารถเชือดจิตได้ หลวงตาท่านพูดประจำตอนออกมาช่วยชาติน่ะ “ท่านบอกว่าถ้าใครจะฆ่า ก็ฆ่าได้แต่ไอ้ถังขยะนี่ แต่ไปฆ่าจิตไปทำความอันนั้นไม่ได้”

นี่ไง พอมันเข้าใจกระบวนการทั้งหมดแล้ว ความเป็นจริง มันมีความจริงรองรับไง มันไปหวั่นไหวอะไร จิตใจมันหวั่นไหวตรงไหน มันมีอะไรเคลื่อนไปแล้วมาอีก สิ่งมี่มันคงที่ของมัน สิ่งที่มันมีของมัน มันอยู่ที่ไหน นี่ไงธรรมะเหนือธรรมชาติ ยืนยันได้เราไม่ได้พูดลอยๆ ยืนยันได้ โดยธรรมจักร นี่กุปธรรม อกุปปธรรม อกุปปธรรมคือ เหนือธรรมชาติ

กุปธรรม คือ สัพเพ ธัมมา อนัตตา ที่แปรสภาพตามความเป็นจริง พระพุทธเจ้าสอนเรื่องไตรลักษณ์ ไตรลักษณ์ก็อยู่กุปธรรม กุปธรรม เวลาถึงที่สุดแล้วเป็นอกุปปธรรม อกุปปธรรม อฐานะไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่มีการเคลื่อนย้าย ไม่มีการขยับอีกเลย อกุปปธรรม นี่ ! เหนือธรรมชาติ แล้วผลที่ปฏิบัติขึ้นมานี่ มันยิ่งเหนือเข้าไปใหญ่ เพราะอะไร เพราะจิตมันเวียนตาย เวียนเกิด

แล้วจิตนี้มันเหนือธรรมชาติ เพราะเหนือการเกิด และการตาย มันมีความจริงรองรับทั้งหมด ทีนี้มีความจริงรองรับแล้ว เวลามาพูดถึงความไม่จริงเห็นไหม มันถึงเห็นชัดเจนไง เห็นชัดเจนว่า มันเป็น มันไม่มีความจริงรองรับ กิเลสเต็มหัวใจไปอ่านพระไตรปิฎก แล้วคิดกระบวนการขึ้นมาให้เป็นสูตรอย่างนั้น อย่างนั้นๆ อย่างนั้นๆ อย่างนั้น ไม่เป็นความจริงเลย

แต่ถ้าเป็นความจริงนะ มันทำอย่างนั้นไม่ได้ คนคิดไม่ถึงรู้ไหม คนคิดไม่ถึงว่านั้นเป็นพุทธวิสัย พุทธวิสัยนี่ พันธุกรรมทางจิต มันได้แต่งมา ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย อย่างพวกเราน่ะขี้ตีน จะกระบวนการอย่างนั้นเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้ากระบวนการที่มันเกิดด้วยจริง อย่างเช่น หลวงปู่มั่น อย่างเช่นเห็นไหม หลวงตากับหลวงปู่ฝั้น กระบวนการของแต่ละบุคคล มันไม่ได้อย่างนั้น แต่รู้ได้ รู้เห็นตามความจริงอย่างนั้นได้ แต่ความฉลาด ความกว้างขวาง ที่จะให้เป็นอย่างนั้น ไม่ได้ นี่ไงพระอรหันต์เหมือนกันหมด

พระอรหันต์ ความบริสุทธิ์ของพระอรหันต์เท่ากันหมด แต่อำนาจวาสนาบารมีแตกต่างกันมาก แตกต่างกันแต่ละองค์ แต่ความรู้ของพระอรหันต์เหมือนกันหมดเลย เหมือนกันหมดเลย ฉะนั้นเหมือนกันเลยเพราะอะไร เพราะสาวก สาวกะ มันมีทฤษฎี มันมีชี้แนวทางใช่ไหม อย่างนั้นอย่างพระพุทธเจ้าไม่มีต้องบุกเบิกเอง ต้องค้นคว้าเอง ฉะนั้นเวลาเราไปอ่าน แล้วเราสร้างกระบวนการว่าต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนั้นอีก ๕๐๐ ชาติ

เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นเหมือนกับแบงก์ดอลลาร์ แบงก์ดอลลาร์ แล้วเราอยู่เมืองไทย เราหาเงินไปเป็นอะไร เป็นเหรียญบาท เป็นแบงก์บาท เป็นแบงก์ห้าร้อย เมื่อไรแบงก์เราจะเป็นแบงก์ดอลลาร์ ! เมื่อไรแบงก์เราจะเป็นแบงก์ดอลลาร์ ! นี่ก็เหมือนกันธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าเห็นไหม พุทธวิสัย พระพุทธเจ้าปฏิบัติไปอย่างนี้ เราทำเป็นสมาธิก็เป็นสมาธิของเรา แล้วทุกอย่างก็เป็นของเราเหมือนกัน ทีนี้แบงก์เราก็ใช้ของเราใช่ไหม เราใช้ในประเทศไทยใช่ไหม เราใช้ดำรงชีวิตใช่ไหม

นี่ก็เหมือนกันถ้าเกิด ศีล สมาธิ ปัญญา กระบวนการมันเกิดขึ้นมาใช่ไหม มันเกิดปัญญาญาณขึ้นมาใช่ไหม มันเกิดโลกุตตรธรรมขึ้นมา มันแก้กิเลสมันเป็นชั้นๆ ขึ้นไปเห็นไหม แบงก์ดอลลาร์ก็ใช้ เพื่อใช้จ่ายของเขา แบงก์บาทก็ใช้จ่ายของเขา เราจะบอกว่าสาวก สาวกะกับพระพุทธเจ้าคนละเรื่องกัน คนละเรื่อง แต่ธรรมวินัยนี้เป็นศาสดาถูกต้อง แล้วเราทำของเราขึ้นไป พอถึงแล้วนะ เพราะดำรงชีวิตเหมือนกัน สิ้นกิเลสเหมือนกัน พอเหมือนกันเห็นไหม นี่ไงธรรมะส่วนบุคคล

“อานนท์ เรานิพพาน เราก็นิพพานเอาสมบัติของเราไปนะ เราไม่ได้เอาของใครไปเลย” เห็นไหม พระสารีบุตรลาพระพุทธเจ้าไปนิพพาน พระสารีบุตรก็เอาของพระสารีบุตรไป ไม่ได้เอาของใครไปเลย นี่ก็เหมือนกัน ถ้าใครบรรลุธรรมขึ้นมา ใครบรรลุธรรมขึ้นมาก็ของเรา แล้วก็จิตเรา จิตเราเกิด จิตเราตาย จิตเราไม่เกิด จิตเราไม่ตาย มันของใคร ของพระพุทธเจ้าก็ สาธุ ของครูบาอาจารย์ก็ สาธุ

แล้วของเราล่ะ ของเรากิเลสครอบงำเต็มหัวใจ พูดธรรมะนะ แต่เช่นกระบวนการอย่างตอนนี้ แค่ความจริงออกมาอย่างนี้ก็ตกใจตายแล้ว ! ตอนนี้ตกใจตาย ! นี่มันยังดีนะ มันมีหลักมีเกณฑ์ ถ้าไม่มีหลักมีเกณฑ์ใครเป็นคนชี้ ถ้าไม่มีคนชี้เขาก็ยังหลอกไปเรื่อยๆ เนอะ เอวัง..